น้ำเขียวเกิดจากตะไคร่น้ำ แต่สิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือ ตะไคร่ที่เป็นพืชเซลล์เดียวไม่ใช่ตะไคร่ที่เกาะตัวเหมือนขนตามก้อนหินหรือขอบบ่อ ตะไคร่ประเภทเซลล์เดียวเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายในสภาพที่เหมาะสม คือต้องมีแสงแดดที่เพียงพอ และมีแอมโมเนียวิ่งเป็นอาหารชั้นเลิศสำหรับตะไคร่น้ำ

วิธีง่าย ๆ ที่จะก่อให้เกิดแอมโมเนีย คือ ของเสียที่ถูกขับออกมาจากตัวปลา ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ตะไคร่น้ำหรือน้ำเขียวสามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว คลอเรลล่า (Chlorella sp.) เป็นแพลงค์ตอนพืชขนาดเล็กแค่ 2-3 ไมครอน

ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่ถ้ามีจำนวนมากจะมองเห็นเป็นสีเขียว เซลล์เป็นทรงกลม มีผนังเซลล์หนา สัตว์น้ำวัยอ่อนเมื่อกินข้าไปแล้วไม่สามารถย่อยได้ แต่เป็นอาหารที่ดีของโรติเฟอร์และไรน้ำกร่อย มีทั้งคลอเรลล่าน้ำเค็มและน้ำจืด

ชนิดที่เพาะเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารแพลงค์ตอนสัตว์น้ำกร่อยจะอยู่ในช่วงความเค็มระหว่าง 10-20 พีพีที ชอบแสงแดด เพื่อสังเคราะห์อาหาร แต่ไม่ชอบอุณหภูมิสูงเกิน 30 องศาเซลเซียส เหตุที่ไม่ชอบอุณหภูมิสูง เพราะยิ่งอุณหภูมิสูงเท่าไหรโปรโตซัวก็จะเพิ่มจำนวนเร็วเท่านั้น

นอกจากโปรโตซัวแล้วแพลงค์ตอนตัวอื่นโดยเฉพาะกลุ่มไดอะตอม โรติเฟอร์ และไรน้ำกร่อย เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มจำนวนของคลอเรลล่า ทำให้คลอเรลล่าลดจำนวนลงสามารถแก้ปัญหานี้ได้ โดยการใช้คลอรีนผง 1 กรัมต่อน้ำเลี้ยงหนึ่งตัน หรือคลอรีนน้ำ 7 ซีซี ต่อน้ำเลี้ยงหนึ่งตัน แต่ปริมาณนี้อาจจะใช้ไม่ได้ผล เพราะคุณภาพของคลอรีนจะแตกต่างกันมาก ต้องหาปริมาณการใช้ใหม่ให้อยู่ในระดับที่โปรโตชัวและแพลงค์ตอนตัวอื่นตาย แต่คลอเรลล่าไม่ตาย ถ้าคลอเรลล่าตายให้ลดปริมาณคลอรีนลงมา

วิธีการเลี้ยงคลอเรลล่า
การเพาะเลี้ยงคลอเรลล่าเพื่อเป็นอาหารแก่โรติเฟอร์และไรน้ำกร่อย โดยเลี้ยงในบ่อคอนกรีตหรือถังไฟเบอร์ ขนาดไม่ควรเล็กมาก โดยทั่วไปควรใช้บ่อขนาดตั้งแต่ 0.5 ตันขึ้นไป และต้องมีปริมาตรน้ำเลี้ยงไม่ต่ำกว่า 1 ใน 4 ของปริมาตรน้ำเลี้ยงโรติเฟอร์และไรน้ำกร่อย

บ่อต้องตั้งอยู่กลางแจ้ง ล้างบ่อให้สะอาด ตากให้แห้ง แล้วจึงเติมน้ำทะเลที่ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนแล้ว พร้อมปรับความเค็มให้อยู่ที่ระดับ 15-20 พีพีที ใส่พันธุ์คลอเรลล่าที่อัตราส่วน 1-5 ต่อ 5 ของปริมาตรน้ำเลี้ยง

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นหัวเชื้อ ปริมาณน้ำจะใช้เต็มบ่อหรือครึ่งบ่อขึ้นอยู่กับปริมาณหัวเชื้อที่มี ถ้ามีน้อยให้เริ่มจากครึ่งบ่อก่อน แล้วค่อยขยายให้เต็มบ่อเมื่อเซลล์หนาแน่นขึ้น จัดให้มีอากาศอย่างเพียงพอ

ปุ๋ยที่ใช้เลี้ยงใช้ปุ๋ยสูตร แอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) จำนวน 100 กรัมต่อตัน, ปุ๋ยนา (16-20-0) จำนวน 15 กรัมต่อตัน และยูเรีย (46-0-0) จำนวน 5 กรัมต่อตัน ปริมาณปุ๋ยที่ใช้จะลดลง เมื่อเริ่มสูบน้ำคลอเรลล่าไปใช้เลี้ยงไรน้ำกร่อย คือ ลดปริมาณการใช้ปุ๋ยลงครึ่งหนึ่งของอัตราปกติ

ทั้งนี้เนื่องจากถ้าปุ๋ยที่ใส่ลงไปคลอเรลล่าใช้ไม่หมด แล้วสูบนำไปใช้เลี้ยงโรติเฟอร์และไรน้ำกร่อยจะก่อให้เกิดอันตรายต่อโรติเฟอร์ และไรน้ำกร่อยได้ ถ้าปริมาตรน้ำเต็มบ่อจะใช้เวลา 3 วัน จึงจะสูบนำไปใช้ได้ หรือวัดความโปรงแสงได้ต่ำกว่า 50 เซนติเมตร

การเลี้ยงคลอเรลล่า สามารถเลี้ยงได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการล้างและตากบ่อ ทั้งนี้จะต้องมีการควบคุมการปนเปื้อนของโปรโตซัว แพลงค์ตอนชนิดอื่น โรติเฟอร์ และไรน้ำกร่อย ที่มีผลกระทบต่อการขยายพันธุ์ของคลอเรลล่า ด้วยการเติมคลอรีนผง 65 เปอร์เซ็นต์ ทุกวัน ในอัตราประมาณ 1 กรัมต่อน้ำ หนึ่งตัน หรือคลอรีนน้ำ 7 ซีซี ต่อน้ำหนึ่งตัน
ช่วงเวลาการใส่คลอรีนไม่ควรใส่พร้อมกับการใส่ปุ๋ย เพราะจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี และทำให้ประสิทธิภาพของคลอรีนและปุ๋ยลดต่ำลง ควรเว้นระยะเวลาการใส่ให้ห่างกันประมาณ 6 ชั่งโมง

ข้อดี
น้ำที่เปี่ยมไปด้วยออกซิเจน ในระหว่างการ Photosynthesis ของพืช คาร์บอนไดออกไซด์และแอมโมเนีย จะถูกใช้ไป ออกซิเจนจะถูกผลิตออกมาแทนที่ ปลาที่ได้รับ ออกซิเจน ในปริมาณที่มากจะเจริญอาหาร โตเร็ว และแข็งแรง ผลพลอยได้ คือ พัฒนาการที่ดีของปลา

น้ำที่ปราศจากของเสีย Nitrite และ Nitrate จะถูกกำจัดออกไปในกระบวนกา Photosynthesis ระบบกรองแบบธรรมชาติที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ น้ำเขียวสามารถถูกนำมาใช้แทนที่ระบบกรองที่ต้องลงทุนทั้งเม็ดเงิน และ เวลาในการดูแลรักษา
ช่วยให้สภาพของน้ำไม่แปรปรวน คุณสมบัติที่ดีอีกอย่างของน้ำเขียว คือ สามารถทำให้ไม่เกิดการแกว่งตัวอย่างเฉียบพลัน ของค่า pH ในน้ำ และเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำใส น้ำเขียวจะมีการปรับตัวของอุณหภูมิที่ช้ากว่าเมื่อต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอุณหภูมิโดยรอบเป็นแหล่งอาหารชั้นยอด

น้ำเขียวมีสัดส่วนของโปรตีน ในจำนวนมาก เและยังมี Carotene ที่เป็นสารเร่งสีแบบธรรมชาติสำหรับปลาอีกด้วย ช่วงฤดูหนาวปลาจะจำศีล และจะไม่มีการให้อาหารหรือเปลี่ยนน้ำเด็ดขาด น้ำเขียวจึงเป็นแหล่งอาหารที่ดี และยังช่วยคงสภาพน้ำในช่วงที่สภาพอากาศเลวร้ายอีกด้วย
ช่วยลดความเครียดให้กับปลา ทุกท่านอาจเคยได้ยินว่าเวลาปลาป่วยให้ใส่ยาและปิดบ่อ เพื่อลดความเครียดของปลา น้ำเขียวก็สามารถทำหน้าที่ได้เหมือนกับการปิดบ่อ เพราะปลาจะมองเห็นแต่สีเขียว และจะไม่แตกตื่นง่ายต่อการเคลื่อนใหวของสิ่งต่าง ๆ รอบข้าง
ข้อเสียการขาด ออกซิเจน
ในขณะที่ตอนกลางวัน น้ำเขียวจะปล่อย ออกซิเจน ออกมาจำนวนมาก ช่วยให้ปลาสดชื่นและเจริญอาหาร แต่ในตอนกลางคืนน้ำเขียวจะแย่งออกซิเจน และอาจทำให้เกิดการขาดออกซิเจนได้ แต่โดยรวมแล้วปลามักจะมีการเคลื่อนไหวน้อยและกินอาหารน้อยอยู่แล้ว จึงไม่ต้องใช้ออกซิเจนมากเท่าตอนกลางวัน แต่เพื่อความปลอดภัย การเติมอากาศให้เพียงพอจึงเป็นเรื่องสำคัญในตอนกลางคืน

แผลเป็นที่เกิดจากออกซิเจนบางท่านอาจจะเคยพบว่าเกิดฟองอากาศขึ้นตามครีบและหางบนตัวปลา เมื่อพยายามเขี่ยก็ไม่ออก สาเหตุของอาการดังกล่าวเกิดจากออกซิเจนที่ถูกผลิตออกมาในจำนวนมากโดยน้ำเขียว และได้เกิดการรวมตัวเป็นจำนวนมากในครีบหรือหางของปลา เกิดภาวะระเบิดออกจากแรงอัดอากาศ ทำให้เกิดแผลเป็นขึ้น
มองไม่เห็นปลาการมองไม่เห็นปลาที่เราเลี้ยงก็มีความเสี่ยงในการรักษาปลาที่เป็นโรค หากพบอาการป่วยของปลาช้าเกินไป
การทำน้ำเขียวจากปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ส่วนผสม
มูลสัตว์ 1 ส่วน
เศษฟาง หรือ ใบไม้แห้ง 1 ส่วน
รำอ่อนพอประมาณ
แกลบดิบ 0.5 ส่วน
น้ำจุลินทรีย์ (จุลินทรีย์หัวเชื้อ 4 ช้อน + กากน้ำตาล 4 ช้อน + น้ำสะอาด 20 ลิตร)

วิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมดผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วค่อย ๆ ราดน้ำจุลินทรีย์ที่ผสมแล้วลงไปเรื่อย ๆ จนได้ความชื้นที่เหมาะสมประมาณ 50%หมักกองใช้พลาสติกคลุมไว้ในที่ร่ม 5 วัน สามารถนำไปใช้ได้
วิธีการใช้
ทำน้ำเขียวในบ่อเลี้ยงปลา ใส่ปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ จำนวน 1-2 กิโลกรัม ทิ้งบ่อไว้ 7 วัน แล้วจึงปล่อยปลาลงเลี้ยง
การทำน้ำเขียวโดยใช้ขี้ไก่กับปุ๋ยยูเรีย
การเลี้ยงปลาจะได้ผลดีมากน้อยเท่าไรขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญ คือ ลูกปลาที่ปล่อยต้องมีขนาดใหญ่ แข็งแรง จึงจะสามารถรอดจากศัตรูปลาได้ น้ำในบ่อต้องมีคุณภาพดี มีอาหารธรรมชาติมาก ถ้ามีมากจะมีสีเขียว

**ควรให้อาหารเสริมอย่างสม่ำเสมอ และให้จำนวนเพียงพอต่อความต้องการของปลาที่อยู่ในบ่อการทำน้ำเขียวมีหลายวิธี สามารถทำได้โดยใช้ต้นทุนต่ำ คือการทำน้ำเขียวด้วยการใส่ขี้ไก่กับปุ๋ยยูเรียลงในบ่อเลี้ยงปลา
วิธีทำ
รวบรวมขี้ไก่แล้วใส่ลงในบ่อปลา ละลายปุ๋ยยูเรียในน้ำก่อน แล้วจึงใส่ในบ่อปลา ถ้าไม่ละลายปลาจะกินยูเรีย อาจทำให้ปลาตายได้
วิธีการใช้
การใส่ขี้ไก่กับปุ๋ยยูเรียควรใส่สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
วิธีเพาะน้ำเขียวในบ่อกลม
1 เริ่มจากทำความสะอาดบ่อกลม เติมน้ำลงในบ่อกลม ประมาณ 20ซม. โดยน้ำนั้นจำเป็นต้องผ่านการกรอง เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา อาจมีผลต่อไรแดงของเราในอนาคตได้ครับ
2 เตรียมหัวอาหาร สำหรับเพาะน้ำเขียว เมื่อเตรียมน้ำในบ่อเสร็จแล้ว จึงจัดการน้ำหัวอาหารเข้มข้น สำหรับเพาะน้ำเขียว Chlorellakit ขึ้นมาครับ จัดการเช็คปริมาณน้ำนะครับว่าใส่น้ำในบ่อไปกี่ลิตร กรณีนี้ผมใส่ไปประมาณ 100 ลิตรครับก็จะใส่หัวอาหารเข้มข้น Chlorellakit 100 ซีซี ครับ ( น้ำ 1 ลิตร : หัวอาหาร 1 ซีซี ) ง่ายมากเลยครับ **หมายเหตุ ฝาขวดของหัวอาหารเข้มข้น 1 ฝา เท่ากับ 5 ซีซี
3 กวนน้ำกับหัวอาหาร สำหรับเพาะน้ำเขียว เมื่อเติมหัวอาหารเข้มข้น ในบ่อแล้วให้ทำการกวนน้ำในบ่อ ให้เข้ากันกับหัวอาหารเข้มข้น ในกรณีนี้ผมได้ทำการเติมอากาศเข้าไปแทนการกวนครับ รอสักพักให้น้ำกับหัวอาหารเข้มข้น เข้ากันดี
4 เตรียมหัวเชื้อน้ำเขียว Chlorella สำหรับเพาะไรแดง จากนั้นทำการเตรียมหัวเชื้อน้ำเขียว Chlorella เพื่อจะเตรียมลงบ่อกลมกับน้ำที่ผสมหัวอาหารเข้มข้นแล้ว อัตราส่วน 1: 20 ลิตรครับ กรณีนี้ผมเติมหัวเชื้อน้ำเขียว Chlorella ไป 20 ลิตรครับ ปริมาณหัวเชื้อน้ำเขียว Chlorella มากเท่าไรก็จะยิ่งเขียวเร็วครับ มากหน่อยก็ใส่มากหน่อยครับ จากนั้นก็กวนน้ำในบ่อให้เข้ากัน ผมใช้การเติมอากาศแทนการกวนด้วนมือเหมือนเดิมครับ
5 รอเวลาและกวนน้ำเขียวเป้นประจำ จากภาพ เป็นการเสร็จสินกระบวนการทำครับ หลังจากนี้ก็รอไปอีก 2-3 วัน อย่าลืมมากวนน้ำทุกวันนะครับ ในภาพอาจจะดูเขียวหน่อยนะครับ เพราะผมใสน้ำเขียวไปเยอะครับ
6 น้ำเขียวสำหรับเพาะไรแดง พร้อมใช้งาน จากภาพ น้ำเขียวในบ่อดูเขียวเข้มขึ้นมากครับ พร้อมจะนำไปเพาะไรแดงต่อได้แล้วครับ ขอให้สนุกกับการเพาะน้ำเขียวและเพาะไรแดง
ขอบคุณแหล่งที่มา: http://www.kasetporpeangclub.com และ http://www.chlorellakit.com