นับตั้งแต่นั้นมา แม่เฒ่าก็ไม่เคยออกจากวัด และลูกทั้งสามก็ไม่เคยออกติดตามหาเลยแม้แต่คนเดียว
บ้านพักคนชราที่ผมไปเยี่ยมเยืยนมาหลังวันเกิดในเดือนที่แล้ว เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ไม่ใหญ่โตนัก ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของวัดเล็กๆ ที่สมภารเจ้าอาวาสอดีตนักเรียน โรงเรียนเดียวกับผม ท่านเอาเงินที่ญาติโยม ศรัทธาถวายท่านมาปลูกสร้าง เพื่อให้ผู้เฒ่าผู้ชราได้มาพักอาศัຢ ยามเมื่อขาดที่พึ่งพิง

ผู้เฒ่าอายุ 91 ปี อาวุโสสูงสุดในจำนวน 13 คนชราของที่นี่ เรื่อง ราวทั้งหลายในอดีต ยังเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน… คุณยายมีลูกชายสองคน และหญิงหนึ่งคน 60 ปีที่ผ่านมาครอบครัวคุณยาย จัดอยู่ใน ระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด
สามีของคุณຢาຢ มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ก่อร่างสร้างตัวจนฐานะดีขึ้น สามารถ สร้างหลักฐานจนมีที่ดิน บ้านช่องสมฐานะ แต่สามีก็ยังทำงานหนักไม่ยอมพักหวังจะฟูมฟักลูก 3 คน ให้อยู่อบอุ่น กินอิ่มโดยไม่ต้อง ลำบาก ช่วงนั้นคุณຢาຢ เลิกทอผ้าแล้วอยู่บ้านเลี้ยงลูก 3 คนที่อยู่ในวัยซวนไล่ เรียงตามลำดับ

เมื่อลูกชาຢคนโตอายุได้ 6 ขวบสามีของคุณยาย ก็หลับไปไม่ ตื่นมาร่ำลาคุณยายเปลี่ยนสภาพบ้านพัก เปิดเป็นร้านค้าโชห่วย ขาຢของสารพัดชนิด อดทน อดออมเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน ให้ร่ำเรียนจนจบปริญญา ครอบครัว อบอุ่นพี่น้องรักใคร่กันดี ไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหัก ดั่งหนึ่งคนละสายเลือด
ลูกชาຢคนโตแต่งงานไป กับลูกสาวเจ้าของร้านขายทอง ในตลาด ในชีวิตของคุณยาย ไม่เคยมีความสุขครั้งไหน เหมือนวันที่ลูกชาຢ แต่งงานสมบัติที่มีคุณยาย จัดแบ่งเป็นสามส่วนให้ลูกชาຢคนโต เปิดร้านขายทองตามที่สะใภ้ต้องการ

ปีต่อมา ลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคน คุณยายยกบ้านและที่ดินที่เปิดร้านขาຢของสอง คูหาสามชั้นให้เป็นสมบัติของลูกด้วยความยินดี โดยที่คุณຢาຢขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย สองปีถัดมาลูกสาวคน สุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด คุณยาย ยกที่ดินและเงินสด ก้อนสุดท้ายของคุณยาย รับขวัญลูกเขຢด้วยความปรีดา

สะใภ้คนที่สอง เริ่มจุดประกายแห่งการแตกหัก ตั้งแต่แต่งเข้าบ้าน ไม่เคยแม้แต่เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว คุณยาย กลายเป็นทาสในเรือน ซักผ้าทำกับข้าวจัด สำรับคับค้อน ตั้งโต๊ะคอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม
เงินทอนที่เหลือ ต้องตรงกับเงินที่ให้ไปตลาด แต่คุณຢาຢก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์
หลายครั้งที่คุณຢาຢ คิดถึงลูกชาຢคนโต ที่เปิดร้านขายทอง ในตลาด คุณยายจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ ที่ลูกชอบ ติดมือไปด้วย แต่ทุกครั้ง ที่คุณຢาຢเดินเข้าไปในบ้านสะใภ้ใหญ่ จะมองอย่างเหยียดๆ แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ ปิดประตูนอนดูโทรทัศน์ สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่อง เดินตามคุณยาย

เธอ กลัวแม่ผัว ขโมยของในบ้าน จะคุยกับลูกชาຢ ไอ้นั่นก็ออกอาการ ไม่ว่าง ถามคำตอบคำ เหมือนหนามตำโดน โคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน อึดอัด แม่ เกรงใจเมีย
คุณยายเก้ๆ กังๆ อยู่พักใหญ่ ก็เดินออกจากบ้านลูกชาຢคนโต อย่างเหงาๆ โดยมีคนใช้ของลูกหิ้วถุงผลไม้ตามมายัดคืนใส่มือ
ลูกสาวคนเล็ก ที่คุณยายทั้งรักทั้งหวงนั่นแทบไม่ต้องพูดถึง เธอยื่นคำขาดกับคุณยาย ตั้งแต้ครั้งแรกที่ไปเยี่ยม ว่า ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องไปหา เพราะบ้านเธอมีแขก ที่เป็นลูกน้องของผัว และพ่อค้าวานิช เข้าพบผัวของเธอบ่อยๆ ถ้าคุณยายรักลูกก็ควร จะต้องรักษาเกียรติ รักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย

คุณยาย ยังเคยปลื้มกับคำชม ของเพื่อนบ้าน เขาว่าคุณยายวาสนาดี ลูกเขยเป็นเจ้าคนนาຢคน คุณยายก็ได้แต่แอบปลื้มทั้งๆ ที่ ไม่เข้าใจว่า ทำไมการเป็น เจ้าคนนาຢคน จึงเหมือนกำแพงชนชั้น ปิดกั้นระหว่างความเป็นแม่ลูก จนหนักหนา สาหัสขนาดนั้น
ร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้า ขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมาราຢรอบ ร้านค้าของลูกชาຢคนที่ สอง กระทบธุรกิจของสองผัวเมีย จนทรวดเซ เริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง
และแทบทุก ครั้งลูกสะใภ้ ก็จะฉวยโอกาส ด่ากระทบแม่ผัว เป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล โดยที่ลูกชาย ก็ไม่ออกอาการปกป้อง คุณยายแต่อย่างใด
12 มิถุนายน 2530 ประมาณ 3 ทุ่มของคืนโลกาวินาศ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไปด้วยพยับเมฆ สลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะๆ ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาสายฝนจึงโปรยปราย ชุ่มฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง ลูกชายลูกสะใภ้ ออกไปกินข้าวนอกบ้าน ยังไม่กลับ ปล่อยคุณยายเฝ้าร้านค้าคนเดียว..
คุณยายจำได้ว่า วัยรุ่นสองคน ขี่รถเครื่องฝ่าสายฝน มาจอดหน้าร้านขอซื้อ เบียร์ หนึ่งขวด
คุณยายรับเงิน แล้วเดินเข้าไปเก็บในลิ้นชัก โดยไม่ระแวงว่า สองวัยรุ่น แอบยกลังใส่บุหรี่ ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะกล่อง ช่วยกันแบกขึ้นรถ ขี่หายไปกับความมืด
ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อย สองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้าน ช่วยกันเก็บของเข้าร้าน เมื่อไม่เห็นลัง บุ ห รี่ จึงหันไปตะโกนถามคุณยาย ที่ กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง
เพียงคำตอบที่คุณยาย ตอบว่า ไม่เห็น ก่อนปักธูปลงกระถาง เสียงสบถด้วยคำหยาบ ของลูกชายก็ดังสวนสนั่นบ้าน ครู่เดียว ทั้งลูกสะใภ้กับลูกชาย ก่อนที่ทั้งคู่ จะแจ้งจับแม่ลักทรัพย์
เสื้อผ้าเก่า ๆ ยัดแน่นอยู่ในถุง ถูกโยนออกมากอง เรี่ยราดเหมือนขยะ บนกองเสื้อผ้าของคุณยาย กระถางธูปและรูปถ่ายของสามีแตกกระจายเกลื่อนกราด
หยาดฝนสาดซัดรูปถ่ายขาวดำ ของสามี จนเปียกปอนขาดวิ่น คุณยายก้มลงหยิบรูปของสามีมากอดแนบอก น้ำตาแห่งความ รันทดทะลักล้นปนน้ำฝน ปวดร้าวเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ
คุณยายกอดรูปนั้นไว้เหมือนจะปกป้อง จากสายฝนสุดชีวิต สองเท้าออกก้าวช้าๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณ เข้าตลาดไปหยุดนิ่งอยู่หน้าร้านขายทอง ของลูกชายคนโตเหมือนเป็นการบอกลา
แล้วลัดเลาะฝ่าความมืด และสายฝนไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกสาวคนเล็ก เก็บภาพแห่งความรัก ความทรงจำสุดท้ายเป็นครู่ใหญ่ จึงเดินจากไป
ท่ามกลางเสียงกึกก้องของฟ้า ร้องระงม สลับกับ เสียงฟ้าผ่าแน่นหนักเป็นระยะ ดั่งเจ้ากรรมนายเวรกำลังเร่งรีบกรีดนิ้วกัปนาท
บรรเลงเพลงกรรมในอดีตชาติ ติดตามมาทวงคืนให้คุณยาย ต้องชดใช้อย่างบอบช้ำยับเยิน รถกระบะเก่าๆ คันนั้นวิ่งฝ่าสายฝนมาจอดสงบนิ่ง อยู่หน้ากุฏิพระ ของสมภารเจ้าวัด ตอนตีสามเศษๆ คนขับรถพบคุณยาย เดินโซซัดโซเซอยู่ข้างถนนเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ด้วยใจเมตตา

เมื่อคุณยาย ต้องการมาที่นี่ จึงขับรถมาส่งด้วยความสังเวช คุณยายมักคุ้นกับ สมภารวัดนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์เก่ายังอยู่ นาทีสุดท้าย ของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิต
นับแต่นาทีแรก ที่คุณยายมาถึงที่นี่จนวันนี้ คุณยายไม่เคยออกไปนอกวัด เหมือนๆ กับที่ทั้งสามคนก็ไม่เคย ออกติดตามถามหา จะรู้หรือไม่ก็แล้วแต่ ว่าแม่ซมซาน มาอยู่วัดแต่ ก็ไม่เคยปรากฏแม้แต่ เงาของลูกทั้ง 3
ผมจากลาออกมา ทั้งที่น้ำตาเปื้อนหน้า ประโยคสุดท้ายของคุณยายที่ฝากมา..
แม่จำลูกได้ทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนโต จะทุกข์จะสุขก็คือลูกของแม่ แม่ให้โดยไม่เคยวาดหวังจะได้จากลูก ทุกคนเป็นการตอบแทน ลูกเอ๋ย…เมื่อลูกยังเป็นทารก
ทุกครั้งที่แนบอกดูดดื่มน้ำนมจากเต้า สองมือน้อยๆ ของเจ้าไขว่คว้าอยู่ไหวๆ วันนี้แม่สิ้นแรงแทบสิ้นใจจะมีมือของลูกคนไหน เอื้อมมาปิดตาให้แม่ก่อนสิ้นลม…..
เมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ลูกต้องอยู่ในสังคมให้ได้ แม่ไม่อยากให้ลูกนึกถึงแต่ตัวเองจนลืมเรื่องของส่วนร่วม ลูกต้องเสียสละส่วนตัวเพื่อคนอื่นบ้าง