Thursday, 25 April 2024

สาวซื้อมือถือ 3.5 หมื่น ดาวน์ 8 พัน ขาดส่งนาน รู้อีกที ถูกยึดที่ 4 ไร่ ขายต่อเจ้าของใหม่

09 Jun 2020
147

สรุปปมนางสุรีพร ศรีทอง อายุ 38 ปี ได้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่ง ที่ร้านแห่งหนึ่งในอำเภอพรหมพิราม ในราคาประมาณ 35,428 บาท โดยวางเงินดาวน์ 8,500 บาท เหลือค้างชำระ 26,928 บาทผ่อนส่งได้ 2 งวด เป็นเงิน 2,496 บาท ไม่ได้ส่งต่อ (ขาดส่ง 16 งวด เป็นเงิน 24,432 บาท) ถูกยึดที่ 4 ไร่

-ปี 2559 สุรีพร หญิงวัย 38 ปี ชาวจังหวัดพิษณุโลก ซื้อโทรศัพท์มือถือที่ร้านแห่งหนึ่ง ในราคา 35,428 บาท โดยวางเงินดาวน์ 8,500 บาท เหลือค้างชำระ 26,928 บาท

-เธอผ่อนส่งได้ 2 งวด เป็นเงิน 2,496 บาท และไม่ได้ส่งต่อ เนื่องจากธุรกิจประสบปัญหา รวมขาดส่ง 16 งวด เป็นเงิน 24,432 บาท ซึ่งต่อมา ตัวเธอเองนั้น ได้ย้ายไปอยู่พื้นที่อื่น และลืมเลือนหนี้สินจำนวนนี้ไป

-เมื่อระยะเวลาผ่านไป ร้านมือถือดังกล่าว ได้ฟ้องร้องและมีหนังสือมาที่บ้านของพ่อเธอหลายรอบ แต่พ่อของเธอแก่ชราและอ่านหนังสือไม่ออก จึงไม่รู้ว่าหนังสืออะไร

-จนกระทั่งเรื่องถึงกรมบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดี ได้ดำเนินการตามกฎหมาย โดยยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เป็นชื่อของเธอ ชื่อพ่อ และชื่อพี่ชาย จำนวน 4 ไร่ ออกขายทอดตลาดในราคา 5 แสนกว่าบาท เพื่อที่จะนำเงินไปใช้หนี้ในการซื้อมือถือ บวกดอกเบี้ยด้วย รวม 37,000 บาท

-ส่วนเงินที่เหลือจากการขายที่ดินกว่า 4 แสนบาทนั้น จะนำคืนให้แก่เธอ ส่วนที่ดินผืนดังกล่าว ทางกรมบังคับคดี ได้ขายไปให้บุคคลที่สาม(เจ้าของที่ดินรายใหม่)แล้ว

-สุรีพร คิดว่า ที่ดินผืนนี้เป็นมรดกตกทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เธอจึงอยากซื้อที่ดินคืน และเข้าไปเจรจา ขอความเมตตากับเจ้าของที่ดินรายใหม่

-เจ้าของที่ดินรายใหม่ไม่พร้อมขายที่ดินให้ แต่ถ้าสุรีพรต้องการซื้อจริงๆ เจ้าของที่ดินรายใหม่ จะยอมขาย โดยคิดราคาที่ดินไร่ละ 4 แสนบาท จำนวน 4 ไร่ เป็นเงิน 1.6 ล้านบาท ซึ่งเธอและครอบครัวมองว่า เป็นจำนวนเงินที่สูงมาก ตนเองก็ไม่มีรายได้อะไร จึงอยากให้เจ้าของที่ดินรายใหม่ขายที่ดินคืนให้ในราคาที่เป็นธรรม

-สุรีพร จึงร้องต่อศูนย์ดำรงธรรม เพราะอยากเจรจาไกล่เกลี่ยขอซื้อที่ดินผืนดังกล่าวคืนในราคาที่ถูกลง

-ต่อมา แฟนเพจเฟซบุ๊ก “กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม” ได้ออกหนังสือชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว ใจความว่า ในการบังคับคดีดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดี ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด และได้แจ้งให้จำเลยและผู้ถือกรรมสิทธิ์ทราบในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การยึดทรัพย์จนถึงการขายทอดตลาด ซึ่งจำเลยและผู้ถือกรรมสิทธิ์ไม่ได้แย้ง

-กรณีดังกล่าว โจทก์ได้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยและผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมออกขายทอดตลาด เพื่อชำระหนี้ตามหมายบังคับคดี ซึ่งปัจจุบันผู้ซื้อได้ชำระราคาค่าซื้อครบถ้วน และรับหนังสือโอนกรรมสิทธิ์ไปจากเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว

-อย่างไรก็ดี กรมบังคับคดีพร้อมที่จะช่วยเหลือในการนัดหมายผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมาเจรจา เพื่อหาทางออกร่วมกันต่อไป

ที่มาที่ไปเป็นดังนี้….นางสุรีพร ศรีทอง อายุ 38 ปี ได้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่ง ที่ร้านแห่งหนึ่งในอำเภอพรหมพิราม ในราคาประมาณ 35,428 บาท โดยวางเงินดาวน์ 8,500 บาท เหลือค้างชำระ 26,928 บาทผ่อนส่งได้ 2 งวด เป็นเงิน 2,496 บาท ไม่ได้ส่งต่อ (ขาดส่ง 16 งวด เป็นเงิน 24,432 บาท) เนื่องจากย้ายมาขายของในตัวเมือง และไม่มีเงินส่ง

จนระยะเวลาผ่านไป ร้านมือถือดังกล่าว ได้ฟ้องร้องและมีหนังสือมาที่บ้านพ่อที่พรหมพิรามหลายรอบ แต่ด้วยความที่พ่อก็ไม่รู้ว่าหนังสืออะไร จนกระทั่งเรื่องถึงกรมบังคับคดี ได้ขายที่ดินที่ชื่อมีพ่อ พี่ชายและตนเอง จำนวน 4 ไร่ ในราคา 5.3 แสนบาท เพื่อที่จะนำเงินไปใช้หนี้ในการซื้อมือถือ รวมดอกเบี้ยด้วย ประมาณ 37,000 บาท ส่วนที่เหลือจากการขายที่ดินนั้น กำลังอยู่ในระหว่างการนำคืนอยู่

ส่วนที่ดินนั้นทางกรมบังคับคดี ได้ขายไปให้บุคคลที่ 3 แล้ว ซึ่งตนเองก็คิดว่าเป็นที่มรดก อยากจะซื้อคืน แต่บุคคลที่ 3 ที่ซื้อที่ดินไป คิดราคาไร่ละ 4 แสนบาท จำนวน 4 ไร่ เป็นเงิน 1.6 ล้านบาท ซึ่งคิดว่าเป็นเงินที่สูง ตนเองก็ไม่มีรายได้อะไร อยากให้ขายในราคาที่เป็นธรรม เพื่อตนเองจะได้มีกำลังในการซื้อคืน กลับมามรดกของครอบครัวเหมือนเดิมได้

วานนี้ (8 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี พร้อมด้วย เจ้าหน้าสำนักงานอัยการ นำหลักฐานจำนวนเงินเหลือหักค่าผ่อนมือถือ เป็นเงินประมาณ 472,000 มามอบให้ตนตรวจสอบและเซ็นรับ แต่ทั้ง 3 ครอบครัวไมมีใครกล้าเซ็น เนื่องไม่รู้จะเจออะไรอีกทั้งไม่อยากได้เงิน แต่อยากได้ที่ดินและบ้านคืนเท่านั้น และอยากขอความเห็นใจจากบุคคลที่ 3 ที่ประมูลที่ไปได้ก่อน

นางสุรีพรกล่าวว่า ตนยอบรับผิดทุกอย่าง ตนเป็นหนี้เขาจริง ขาดส่งจริง แต่เพราะตอนนั้นตนเองไม่มีเงินจริงๆ จึงเมินเฉยเรื่อยมาจนมาถึงวันนี้วันที่ มรดกของครอบครัวชิ้นสุดท้ายคือที่ดินพื้นที่ 4 ไร่ โดยยึดและนำไปขายทอดตลาดแล้ว ตนคาใจหากจะยึดจริงอยากให้ยึดในส่วนของตน บ้านของตนเพียงผู้เดียวตนยอมรับได้ แต่ทำไมต้องไปยึดบ้านของพ่อซึ่งแก่มากแล้ว บ้านพี่ชายซึ่งมีภรรยาเป็นผู้พิการ

บ้านหลังนั้นยังเป็นบ้าน สสวท. ตามโครงการสมเด็จพระเทพฯ ที่สร้างให้คนผู้พิการ ทำไมไม่ยึดที่บ้านของตนเองเพียงคนเดียว ตอนนี้ตนเครียดมาก ที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อนตนร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นหน้าพ่อ เพราะพ่อแก่มากแล้วเขาเครียดมาก ถึงขั้นเอ่ยปากว่าหากไม่มีที่ ไม่มีบ้านอยู่พ่อก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม สงสารพี่ชายและพี่สะใภ้ที่พิการ และหลานที่จะไม่มีบ้านอยู่

ตนอยากจะวิงวอนขอความเห็นใจจากผู้ที่ประมูลที่ไปได้ในราคา 530,000 ตนพยายามติดต่อขอซื้อที่คืนในราคาที่แตกต่างไม่มากนัก แต่ถ้าขายคืนให้แต่ขายในราคา 1.6 ล้านบาท ซึ่งตนบอกตรงๆว่าตนไม่มีปัญญาหาเงินจำนวนมากมายขนาดนั้น อยากขอความเห็นใจช่วยลดราคาลงมา เพื่อให้ตนได้พอมีกำลังในการซื้อคืนด้วย

นอกจากนี้ตนอยากฝากไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนที่เป็นหนี้ อย่าคิดว่าเป็นหนี้ แล้วเพิกเฉยไม่จ่ายก็แค่ถูกฟ้องล้มละลาย หรือติดแบล็คลิสต์เครดิตบูโรเหมือนตน ความจริงมันไม่ใช่เลย คดีมันหนักหนาสาหัสมาก ใครที่เป็นหนี้อยู่ตอนนี้อยากให้ไปคุยกับเจ้าหนี้ไปขอไกล่เกลี่ยและชดใช้คืนในเจ้าหนี้ อย่าให้เหมือนตนที่เป็นหนี้เพียง 37,000 แต่กลับถูกยึดที่พร้อมบ้านในราคาถึง 530,000 บาท จากนี้ 11 ชีวิต ที่มีทั้งคนแก่ คนพิการ และเด็ก ยังไม่รู้จะใช้ชีวิตกันต่อไปอย่างไร จะไปอยู่ที่ไหน หากต้องโดนไล่ออกจากบ้านจริงๆ

หลังจากนี้ทางอำเภอพรหมพิราม และกรมบังคับคดี จะได้ติดต่อกับบุคคลที่ 3 นัดเจรจากับครอบครัวของตนเองอีกครั้ง เพื่อช่วยเหลือให้บุคคลที่ 3 ที่ซื้อที่ดินและบ้านไปแบบถูกต้อง ขายคืนในราคาที่ไม่สูงเกินอีกครั้ง

Facebook Comments Box
สวัสดี